วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
 
ปัญหาที่เกิดขี้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีตั้งแต่เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงความบกพร่องอย่างร้ายแรงที่จะทำให้งานของเราที่อุตส่าห์ทำเป็นเดือนๆ หายไปได้ในพริบตา หรือไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นได้อีกเลย วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์นั้นก็คือ ป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ขั้นตอนในการป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการเก็บข้อมูลความสำคัญมากๆ ในเรื่องของการเก็บข้อมูล คือ ไม่ให้มีอุบัติเหตุซึ่งจะทำให้มันมีค่าที่สุด ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เป็นอุปกรณ์ที่แพงที่สุดในเครื่องของเราก็ตามเป้าหมายของการป้องกันคือ เก็บข้อมูลของเราให้ปลอดภัย มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
1.รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง

เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องของเราว่าอุปกรณ์อะไร รายละเอียดเป็นอย่างไร ได้ โดยดูที่ System Properties โดยคลิ๊กเม้าปุ่มขวาที่ My computer เลือก
1. Properties จะปรากฏ System Propeties ขึ้นมา ให้เราคลิ๊กที่ Tab Device Manager เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในเครื่องของเราได้
ถ้าเรามีเครื่องพิมพ์ ก็สั่งพิมพ์มาเก็บไว้เลยจะเป็นการดีที่สุดป้องกันการลืม

รูปที่ 1 แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในของเครื่อง


2.สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา

เมื่อเราเครื่องของเรามีปัญหาไม่สามารถบู๊ตเครื่องจากฮาร์ดดิสก์ได้ เราก็ยังจะสามารถบู๊ตจากแผ่นบู๊ตฉุกเฉินที่เราสร้างขึ้นเอาไว้ได้ โดยไปที่
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Setting
3. เลือก Control Panel
4. กดดับเบิ้ลคลิ๊กไอคอน Add remove programs
5. ให้เลือกคลิ๊กที่ Tab Startup Disk แล้วใส่ แผ่น floppy disk ที่ทำการ format แล้วใน dirve a:
6. แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Create Disk หลังจากเครื่องทำการสร้างแผ่นบูตเสร็จเรียบร้อย เราก็จะได้แผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว
การ<wbr>สร้าง<wbr>แผ่นบูต<wbr>
รูปที่ 2 แสดงแถบการสร้างแผ่นบู๊ตดอส


3. ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ

เพราะฮาร์ดดิสก์เป็นที่ที่เก็บแอปพิลเคชั่นไว้อย่างถาวร และที่สำคัญมากคือไฟล์ข้อมูลที่สร้างด้วยแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น
ดังนั้นฮาร์ดดิสก์จึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างพิเศษเพื่อรักษามันให้ปฏิบัตการได้ที่ประสิทธิภาพสูงสุด การสแกนดิสก์ เพื่อหาไฟล์ที่สูญหาย (Lost) และเซ็กเตอร์ที่เสียหาย (bad sector) จะช่วยป้องกันปัญหาของดิสก์ทั้งหมดก่อน ที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่การ Defragment จะช่วยจัดเรียงไฟล์ที่แตกกระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบขึ้น
วิธีการสแกนดิสก์ทำได้ดังนี้
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Program
3. เลือก Accesorry
4. เลือก System Tools
5. เลือก Scan Disk
กา<wbr>รส<wbr>แกนดิสก์<wbr>
รูปที่ 3 แสดงหน้าต่างการสแกนดิสก์


4. วางแผนในการเก็บรักษา

การเก็บรักษาไฟล์ข้อมูลในโฟล์เดอร์เราจะต้องเก็บรักษาให้อยู่ในส่วนที่ค้นหาง่ายและมีชื่อที่สามารถจดจำได้ง่าย จะช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะลบโปรแกรมหรือข้อมูลเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งฮาร์ดดิสก์ที่มีการบริหารรวบรวมที่ดีจะสามารถทำ การแบ๊กอัปสำรองข้อมูลได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า และไฟล์ไหนที่เราไม่ได้ใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ควรจะลบไฟล์นั้นออกไป เพราะ ดิสก์ที่ใส่ข้อมูลมากๆ จนเกือบเต็มความจุของมันมักมีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดพลาดได้มากกว่า และช้ากว่าฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ได้ใส่ข้อมูลจนแน่น

5. สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้

การแบ็กอัปไฟล์ของเรามีความหมายง่ายๆ ก็คือเป็นการทำสำเนาเผื่อเอาไว้ ถ้าต้นฉบับถูกทำให้สูญหายหรือเสียหายไป เราก็ยังสามารถนำเอาสำเนามาใช้ได้ เราสามารถแบ็กอัปฮาร์ดดิสก์ไปยัง Floppy disk หรือ Zip disk ได้ ถ้าเราทำธุรกิจมีข้อมูลที่สำคัญมากๆ เช่น ข้อมูลของสินค้า ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลด้านบัญชี
มูลบุคคล เราควรจะแบ๊กอัปมันทุกๆวันเป็นมาตรฐานเอาไว้ แต่ถ้าเราเป้นผู้ใช้ตามบ้าน ก็ควรจะการแบ็กอัปไฟล์หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ และทำการแบ๊กอัป ทั้งระบบอย่างสมบูรณ์ทุกๆ 6 เดือน โดยเราสามารถใช้โปรแกรม Backup ดังนี้
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Program
3. เลือก Accesorry
4. เลือก System Tools
5. เลือก Backup
โปรแกรมนี้จะอนุญาติให้เราตรวจเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแบ๊กอั

6. ป้องกันไวรัส

แม้ว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องและข้อมูลของเราได้ ซึ่งในบางครั้งก็ดูออกจะเป็นเรื่องตื่นตระหนกจนเกินเหตุ แต่ความเป็นจริงแล้วไวรัสไม่สามารถที่จะทำอันตรายให้กับเครื่องและข้อมูลของเราได้ ถ้าหากเราไม่ได้สั่งให้มันทำงาน (execute) ไวรัสนั้นติดมาได้ 2 ทาง คือ
1. จากแผ่นดิสก์อื่นที่เรานำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นที่เรายืมหรือก๊อปปี้ของเพื่อนมา หรือ แผ่นcd เถื่อนที่เราซื้อมาจากพันธุ์ทิพย์
2. จากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่เราดาว์นโหลดมา หรือ ไวรัสที่ส่งมากับอีเมล์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือเราต้องไม่นำมาใช้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เราหาโปรแกรมสำหรับสแกนไวรัสมาสแกนไวรัสก่อนที่จะนำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น
McAfee's VirusScan Norton AntinVirus หรือ Pc-cillin
แต่ในบางครั้งไวรัสตัวนั้นอาจเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่โปรแกรมเหล่านั้นยังไม่สามารถตรวจสอบได้ เราก็จำเป็นต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสเวอร์ชั่นใหม่ ๆ มาใช้งานจากเวบไซด์เหล่านั้น
7. ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม

เมื่อเราได้ติดตั้งโปรแกรมลงบนระบบของ window95 แล้วอย่าได้เปลี่ยนชื่อไดเร็กทอรี่ของโปรแกรมหรืออย่าได้ย้ายไฟล์ของมันจากที่ที่มันอยู่ไปไว้ที่อื่นๆ บนฮาร์ดดิสก์ของเรา มิฉะนั้นคอมพิวเตอร์จะหาแทร็กของคีย์ไฟล์ไม่เจอ ถ้าเราจะทำการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้ง (uninstall)
วิธีการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้งที่ถูกวิธีทำได้ดังนี้
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Control Panel
3. กดดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Add/Remove Programs
4. เลือกโปรแกรมที่เราต้องการจะลบ หรือ ยกเลิกการติดตั้ง
5. กดปุ่ม Add/Remove

รูปที่ 4 แสดงหน้าต่างการ Add/Remove โปรแแกรม

หลังจากกดปุ่ม Add/Remove แล้วจะปรากฏหน้าต่างการยกเลิกการติดตั้งให้ แต่มีบางไฟล์หรือบางกรณีที่จะต้อง ใช้คำสั่งลบออกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านการลบด้วยกรรมวิธีขั้นต้น สามารถเข้าไปลบไฟล์เหล่านั้นได้เลย

8. ใช้แต่ของใหม่เสมอ

อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมไดว์เวอร์ (driver) เพื่อพูดคุยติดต่อระหว่าง window95 กับ ฮาร์ดแวร์ของเรา จะเป็นการดีถ้าเราสามารถอัปเดตโปรแกรมไดว์เวอร์เหล่านั้นให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

9. รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ

ฝุ่นสามารถทำให้ชิปภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราร้อนขึ้นมามากกว่าธรรมดาและยังเป็นตัวขัดขวางการไหลเวียนระบายความร้อนของอากาศอีกด้วย อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งให้เราถอดปลั๊กต่างๆ และเปิดฝาเครื่องขึ้นมา และเป่าฝุ่นออก อย่าเช็ดด้วยเศษผ้า ให้ใช้ปากเป่าหรือกระป๋องอัดลมสำหรับฉีดลมอย่างใดอย่างหนึ่งในการเป่าฝุ่น

10. ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

เมื่อใดก็ตามที่เสร็จการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะเลิกการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่าได้ปิดเครื่องเลยทันที เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์มีการเก็บหน่วนความจำแคช ปิดไฟล์ และ เซฟข้อมูลคอนฟิกคูเรชั่นต่างๆ ก่อนที่เราจะปิดเครื่อ
เราจำเป็นต้องต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ของเราชัตดาวน์ (shutdown) ก่อนเสมอ โดยไปที่ Start --> Shutdown แล้วกด OK เท่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราก็จะจบการทำงานได้อย่างสวยงาม

การพัฒนาซอฟต์แวร์แนวใหม่ ซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ

 
การพัฒนาซอฟต์แวร์แนวใหม่ ซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ
 
ในรอบห้าสิบปีที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ การพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เปลี่ยนแปลงตามสภาพการพัฒนา เริ่มจากการคิดค้นหาภาษาคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการสั่งการ การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้งานจึงขึ้นอยู่กับการเขียนโปรแกรมโปรแกรมจึงเป็นลำดับการทำงานของคอมพิวเตอร์

ในยุคต้น ภาษาที่ใช้สั่งการเป็นภาษาเชิงลำดับ งานประยุกต์จึงใช้ภาษาเชิงลำดับสั่งงาน เช่น วานพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยภาษาฟอร์แทรน เบสิก โคบอล ต่อมาเมื่อพบว่างานที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำมีความซับซ้อนมากขึ้น การสั่งงานทำให้วิธีการเขียนโปรแกรมขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เพราะลำดับความคิดที่ถ่ายออกมาเป็นรูปโปรแกรมนั้นยากที่จะทำความเข้าใจได้ โปรแกรมที่พัฒนาจึงขึ้นกับตัวบุคคล ไม่สามารถให้อีกบุคคลหนึ่งดำเนินการตรวจสอบหรือทำความเข้าใจเกี่ยวกับโปรแกรมได้ง่า

ความคิดนี้จึงต้องทำซอฟต์แวร์ให้เป็นโครงสร้าง มีการนิยามภาษาคอมพิวเตอร์แบบกระบวนความ (procedure) เน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบโครงสร้าง จึงมีการใช้โปรแกรมแบบโครงสร้าง การพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์จึงเน้นแบบโครงสร้าง ใช้ภาษาปาสคาล ซี หรือภาษาต่าง ๆ ที่พัฒนามาในรูปแบบกระบวนความ เพื่อให้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบท้อปดาวน์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบกระบวนความที่เป็นโครงสร้างก็ยังเป็นแนวทางของการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบนามธรรม ใช้จินตนาการ ดังนั้นการสร้างจินตนาการในงานที่ซับซ้อนยังเป็นเรื่องยาก ซอฟต์แวร์ตามแนวจินตนาการของบุคคลหนึ่งจึงยากที่จะนำมาใช้กับอีกบุคคลหนึ่ง ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาแล้วยังยากที่จะนำมาใช้งานใหม่ ทั่วโลกจึงมีซอฟต์แวร์ที่เขียนกันขึ้นมามากมาย ยากที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ได้

แนวคิดแบบปรับกระบวนทัศน์


ความคิดในเรื่องการปรับกระบวนทัศน์(paradigm) มีมาหลายครั้งแล้ว ในช่วงปี ค.ศ. 1980-1990 ประเทศญี่ปุ่น โดยกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมได้ร่วมกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นในเรื่องการผลิตคอมพิวเตอร์และมหาวิทยาลัยเพื่อทำการศึกษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ห้า โดยเน้นรูปแบบของคอมพิวเตอร์แนวใหม่ ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้ได้คอมพิวเตอร์ยุดใหม่ที่นำมาใช้ในงานปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ อย่างไรก็ดี โครงการคอมพิวเตอร์รุ่นที่ห้าของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ก็ยังยากที่จะพัฒนาต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะพัฒนาการทางด้านไมโครโปรเซสเซอร์ของอเมริกัน โดยเฉพาะอินเทลและบริษัทคู่แข่งของอินเทล สามารถสร้างชิปได้ในราคาถูก และมีผู้นำมาประยุกต์ใช้ได้มากมาย มีพัฒนาการที่เร็ว ดังนั้นความคิดที่จะสร้างคอมพิวเตอร์แนวใหม่ของญี่ปุ่นจึงไม่มีใครขานรับ ทำให้ผลงานวิจัยเหล่านั้นพบกับอุปสรรคในเรื่องการดำเนินต่อในขั้นอุตสาหกรรมและการนำไปใช้

ความคิดของประเทศญี่ปุ่น ก็ทำให้เกิดการตื่นตัวในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความคิดเหล่านี้ได้รับการปรับปรุงและยังมีแนวทางของการแข่งขันกัน โดยเฉพาะการพัฒนางานทางด้านปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ

การปรับกระบวนทัศน์ในเรื่องความคิดของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เด่นชัดครั้งหนึ่ง คือการเขียนโปรแกรมแบบภาษาพรรณา หรือที่เรียกว่า declarative language ภาษาโปรล็อก หรือภาษาลิสน์

แนวคิดเชิงวัตถุ


แนวคิดเชิงวัตถุเป็นแนวคิดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใช้งานทางด้านปัญญาประดิษฐ์การเขียนโปรแกรมเชิงพรรณาที่ใช้หลักการของการบรรยายเชิงวัตถุ รูปแบบของภาษาที่ใช้จึงเน้นรูปธรรมที่ต้องการการบรรยาย

ความคิดเชิงวัตถุ เป็นความคิดที่ใช้ในการสร้างโมเดลของสิ่งที่มีความซับซ้อน โดยมีจำนวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจำนวนมากที่เกี่ยวกับเชตของวัตถุ ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับวัตถุ การใช้วิธีการเชิงวัตถุจึงเป็นวิธีการทางเทคนิคที่ทำให้เกิดรูปธรรม

ลองดูรูปธรรมเชิงวัตถุที่ใช้ในการอธิบายสิ่งบางอย่างที่เป็นความรู้ และขอบเขตของความรู้ที่กว้างขวาง ดังนั้นถ้าเราจะหาทางแทนความรู้ สิ่งที่เป็นโมเดลที่ดีและใช้งานได้อย่างหนึ่งคือ รูปแบออบเจ็กต์ หรือเชิงวัตถุดังตัวอย่างรูปที่ 1

ความสัมพันธ์เชิงวัตถุเป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย และสามารถสร้างตามความเข้าใจ เห็นภาพชัดเจน ดังนั้นการสร้างโมเดลเชิงวัตถุจึงเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจทุกองค์กรมีฟังก์ชันการทำงานที่สามารถเขียนเป็นโมเดลเชิงวัตถุได้ โดยประกอบด้วยเหตุการณ์(event) และตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้น (occurrence) ตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์อาจเป็นได้ทั้งที่เป็นวัตถุหรือไม่ใช่วัตถุก็ได้ เช่น บริษัทอาจผลิตสินค้าหรือบริการ ซึ่งทั้งสินค้าหรือบริการนี้เป็นตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ โดยทำให้มีราคาหรือมีการขายที่ทำให้ลูกค้าพอใจ ดังนั้นทั้งสินค้าและบริการอาจดูแล้วมีความแตกต่างกัน สินค้าสามารถจับต้องได้ แต่การบริการอาจจับต้องโดยตรงไม่ได้ แต่มีราคาได้

ไม่เพียงแต่ตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เท่านั้นที่จะเป็นออบเจ็กต์ (วัตถุ) ตัวที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุก็เป็นสิ่งที่ต้องนำมาคิด ทั้งนี้เพราะในสภาพของสิ่งที่เป็นจริงคือทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติมีโครงสร้างเป็นแบบสเตติก ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกันและเชื่อมโยงเป็นโมเดลเชิงวัตถุ และใช้ในการสร้างโมเดล

ทั้งนี้เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง การแทนโมเดลไม่สามารถที่จะสื่อความหมายทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด แต่ขอบเขตของการสร้างโมเดลเพื่ออธิบายความหมายในเชิงสร้างซอฟต์แวร์มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจแตกต่างออกไปบ้างโดยเน้นให้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุและตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ได้ เป็นออบเจ็กต์ในความหมายของสิ่งที่จะใช้ทางซอฟต์แวร์ โดยให้ออบเจ็กต์นั้นมีข้อมูลข่าวสารอยู่ภายใน และยังให้คุณลักษณะของออบเจ็กต์ไปยังออบเจ็กต์อื่น ๆ ได้ ออบเจ็กต์จะอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า คลาส และให้คุณสมบัติสำหรับคลาสสามารถถ่ายทอดกันได้

ออบเจ็กต์คืออะไร


ลองนึกดูว่าภายในองค์กรหรือบริษัทมีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย การดำเนินการของบริษัทประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มีกิจกรรมการขาย การผลิต การซื้อ การดำเนินการของคน กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงิน บัญชี

ตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นเรียกว่า ออบเจ็กต์ ซึ่งมีมากมายในองค์กร และคำว่าออบเจ็กต์จึงได้รับการใช้ในสถานะต่าง ๆ กัน และอาจมีความหมายที่คลาดเคลื่อนกันบ้าง อย่างไรก็ดี เรากำหนดความหมายของคำว่า "ออบเจ็กต์" ไว้ว่า เป็นตัวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่มีข่าวสารและให้คุณลักษณะบางอย่าง

พิจารณาจากตัวอย่าง


- บัญชีธนาคาร เป็นออบเจ็กต์ในธนาคาร สำนักงานก็เป็นออบเจ็กต์ในธนาคาร และเช่นเดียวกันลูกค้าก็เป็นออบเจ็กต์

- นโยบายการประกันภัย ก็เป็นออบเจ็กต์ที่อยู่ในบริษัทประกันภัย และเช่นเดียวกันธนาคาร ตัวสำนักงาน และลูกค้าก็มีอยู่ด้วยและเป็นออบเจ็กต์ด้วย

- รถยนต์ ก็เป็นออบเจ็กต์ที่อยู่ในหน่วยทะเบียนรถยนต์กลาง รถยนต์ก็ยังเป็นออบเจ็กต์ของระบบการผลิตในโรงงานรถยนต์

จากตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนี้เห็นได้ชัดว่า ในการประยุกต์ใช้งานหรือในสิ่งแวดล้อมหนึ่งอาจมีหลาย ๆ ออบเจ็กต์ และในอีกสถานการณ์หนึ่งก็มีออบเจ็กต์ที่มีลักษณะคล้ายกัน

ลูกค้าของธนาคารกับลูกค้าของบริษัทประกันภัยก็คือออบเจ็กต์ แต่ออบเจ็กต์ลูกค้าในบริษัทประกันภัยหรือไม่ ทำนองเดียวกันจะเห็นว่ารถยนต์เป็นออบเจ็กต์ของหน่วยขึ้นทะเบียนกลาง หรือกรมการขนส่งทางบก และก็เป็นออบเจ็กต์ของบริษัทผลิตรถยนต์ด้วย ออบเจ็กต์ของรถยนต์ในสองสถานการณ์นี้เหมือนกันหรือไม่

คำตอบที่เด่นชัดคือไม่เหมือนกัน ในโดเมนของสิ่งแวดล้อมต่างกัน การมองที่ออบเจ็กต์จะต่างกัน ลูกค้าทั้งของธนาคารและบริษัทประกันภัยอาจมีชื่อ นามสกุลที่อยู่ที่ติดต่อเหมือนกัน แต่อาจจะมีบางส่วนที่ความต้องการของธนาคารแตกต่างจากบริษัทประกันภัย ลองพิจารณาที่รถยนต์จะเห็นเด่นชัด คือรถยนต์ที่เป็นออบเจ็กต์อยู่ในส่วนของโรงงานผลิตรถยนต์ บริษัทผู้ผลิตสนใจว่ารถยนต์นั้นจะขาวนให้ผู้ใด ใครคือผู้ซื้อ วันที่ผลิต สีรถ สิ่งที่ลูกค้าสั่งให้เพิ่มเติม เฉพาะในรถยนต์ตามความต้องการของลูกค้า ส่วนหน่วยทะเบียนของกรมการขนส่งทางบกมองออบเจ็กต์รถยนต์ว่า ใครเป็นเจ้าของ วันที่ซื้อขาย เสียภาษีรถยนต์แล้วหรือยัง ตลอดจนข้อมูลที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนรถยนต์


สิ่งที่ประกอบอยู่ขึ้นมากับออบเจ็กต์ และเป็นข่าวสารที่จะบอกว่าออบเจ็กต์นั้นมีคุณสมบัติอย่างไร เราเรียกว่าแอตทริบิวต์ โดยส่วนของแอตทริบิวต์จะมีค่าหรือตัวข้อมูลอยู่ สมมติว่าสมบัติแจ้งกิจเป็นลูกค้าธนาคาร การพิจารณาเช่นนี้เห็นว่าตัวออบเจ็กต์เป็นตัวแทนลูกค้าทุกคน รวมทั้งสมบัติด้วย โดยคุณลักษณะที่อยู่ในออบเจ็กต์ลูกค้าคือ ชื่อ ลูกค้า ที่อยู่ ซึ่งเป็นแอตทริบิวต์

การทำงานในระบบมีลักษณะเรียกใช้งานระหว่าออบเจ็กต์ ออบเจ็กต์หนึ่งจะเรียกใช้อีกออบเจ็กต์หนึ่งได้อย่างไร การสร้างโมเดลการเรียกใช้ระหว่างกันจึงอยู่ที่ออบเจ็กต์หนึ่งส่งข้อความ (message)ไปยังอีกออบเจ็กต์หนึ่ง ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากวิธีคิดเดิมที่เราสร้างโปกรแกรมเป็นกระบวนความโดยส่งพารามิเตอร์ไปและกลับระหว่างกระบวนความ

จากการสร้างโมเดลขอออบเจ็กต์แนวใหม่นี้ใช้"ข้อความ" ส่งระหว่างกัน ความจริงแล้วการใช้คำว่า"ข้อความ" อาจทำให้สับสนได้ เพราะที่แท้จริงคือออบเจ็กต์หนึ่ง เมื่อออบเจ็กต์ที่ได้รับสัญญาณตัวกระตุ้นนี้ก็จะดูว่าสัญญาณตัวกระตุ้นนี้คืออะไรและจะกระทำตามดังนั้นแต่ละออบเจ็กต์จึงมีตัวกระตุ้นเข้ามา การทำงานขอออบเจ็กต์อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนค่าในแอตทริบิวต์ต่าง ๆ ปรับปรุงค่าหรือกระทำตามเงื่อนไข หรืออาจต้องการส่งตัวกระตุ้นนี้ไปยังออบเจ็กต์อื่นอีกต่อไป

สิ่งเด่นชัดที่น่าสนใจคือ แอตทริบิวต์ ของออบเจ็กต์จะประกอบยู่ภายในออบเจ็กต์ของมันเองเท่านั้น ดังนั้นด้วยวิธีการนี้จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญขอออบเจ็กต์ที่นำข้อมูลหรือค่าในแอตทริบิวต์เก็บไว้ในตัวมันเอง คุณสมบัติในลักษณะนี้เราเรียกว่า encapsulation การที่จะเข้าถึงข่าวสารภายในจะต้องกระทำภายในออบเจ็กต์เอง ข้อมูลที่เป็นค่าอยู่ในออบเจ็กต์จะได้รับการเก็บไว้ในสิ่งแวดล้อมภายในของออบเจ็กต์นั้น

ไม่เพียงแต่แอตทริบิวต์ของออบเจ็กต์จะได้รับการซ่อนไว้ภายในสิ่งแวดล้อมของออบเจ็กต์เท่านั้น รายละเอียดโครงสร้างการทำงานเสมือนเป็นโปรแกรมที่สั่งงานในแบบเก่าก็ยังซ่อนอยู่ภายในออบเจ็กต์ด้วย แต่สิ่งที่มีให้เห็นต่อสิ่งแวดล้อมคือ ชนิดของการทำงานที่จะได้รับการกระตุ้นให้ทำงาน ชื่อของชนิดของข้อมูลข่าวสารที่ประกอบการทำงานนี้เรียกว่า "Signature" การติดต่อกับออบเจ็กต์จึงมีการรับรู้แบบการสื่อสารระหว่างกันที่เรียกว่า โปรโตคอล

ออบเจ็กต์ที่ต้องการติดต่อโดยการส่งสัญญาณตัวกระตุ้นออกไปเรียกว่า ออบเจ็กต์ไคลเอ็นต์ ออบเจ็กต์ที่รับสัญญาณกระตุ้นมาเรียกว่า ออบเจ็กต์เซิร์ฟเวอร์

เมื่อพิจารณาที่ออบเจ็กต์จึงเห็นได้ว่า ส่วนขอออบเจ็กต์ที่มีรูปแบบที่พอจะแสดงให้เข้าใจได้ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนหนึ่งที่จะใช้ในการรับการติดต่อระหว่าออบเจ็กต์เพื่อให้ทำงานโดยเฉพาะที่ติดต่อตามโปรโตคอล ส่วนนี้จะป็นส่วนข้อกำหนดของออบเจ็กต์ กับอีกส่วนหนึ่งคือ ส่วนที่มีแอตทริบิวต์และการทำงานภายในที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับค่าที่เก็บในแอตทริบิวต์

พิจารณาตัวอย่างออบเจ็กต์หนึ่งสมมติเป็นบัญชีเงินเดือนของพนักงาน ซึ่งมีโครงสร้างแอตทริบิวต์ภายในที่บอกรายละเอียดว่า บัญชีเงินเดือนอะไรบ้าง ซึ่งโครงสร้างแอตทริบิวต์จะให้รายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ แต่ส่วนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะได้รับการเรียกจากภายนอกหรือกระตุ้นเป็นสิ่งเร้า และรับการติดต่อด้านโปรโตคอลก็เป็นอีกตัวหนึ่งแต่ทั้งสองส่วนนี้อยู่ภายในออบเจ็กต์

หากจินตนาการออบเจ็กต์ให้เป็นสิ่งที่มีรูปธรรม อาจเขียนได้เป็นโมเดล เช่น บัญชีเงินเดือน มีแอตทริบิวต์ที่กำหนดว่ามีข้อมูลอะไรประกอบอยู่ และเมื่อมีการคำนวณหรือกระทำใด ๆ จะกระทำในออบเจ็กต์โดยที่เมื่อมีตัวกระตุ้นจะกระทำในออบเจ็กต์โดยที่เมื่อมีตัวกระตุ้นจะกระทำและรับส่งข้องมูลระหว่างกันดังนั้นจึงพอสรุปความขอออบเจ็กต์ได้เป็น

- ออบเจ็กต์ต้องมีแอตทริบิวต์ และการดำเนินงานภายในออบเจ็กต์
- สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ออบเจ็กต์สามารถส่งสัญญาณมาให้ออบเจ็กต์ทำงาน แต่ไม่สามารถก้าวเข้ามาสู่ภายในออบเจ็กต์ หรือเรียกดูข้อมูลในแอตทริบิวต์ที่มีอยู่ในออบเจ็กต์
- ออบเจ็กต์ทุออบเจ็กต์จะบรรจุแอตทริบิวต์และการดำเนินงานภายในเราเรียกว่า encapsulate
- การติดต่อกันในใช้ข้อความส่งกระตุ้นเราเรียกว่า โปรโตคอ
- การดำเนินการภายในออบเจ็กต์ใด ๆ จะไม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก

ออบเจ็กต์มีการเชื่อมโยงระหว่างกัน


กิจการธนาคารมีลูกค้า ลูกค้าก็เป็นออบเจ็กต์หนึ่งที่มึความชัดเจนคือ มีแอตทริบิวต์ภายใน ลูกค้ามีลักษณะเฉพาะ มีชื่อ ที่อยู่ ที่ติดต่อ การดำเนินการในออบเจ็กต์ลูกค้าอาจเกี่ยวข้องกับการสอบถาม การปรับปรุงข้อมูล การทำรายงานที่เกี่ยวกับข้อมูลลูกค้า ที่ธนาคารเองมีออบเจ็กต์บัญชี ซึ่งมีแอตทริบิวต์และการกระทำภายใน

การเชื่อมโยงระหว่าออบเจ็กต์มีลักษณะความเกี่ยวโยงหรือมีความเชื่อมโยงถึงกัน เป็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างกัน

ลองดูจากตัวอย่างการให้สินเชื่อกับลูกค้าของธนาคารแห่งหนึ่ง กรรมวิธีการให้สินเชื่อเริ่มจากเมื่อลูกค้าซึ่งเป็นบุคคลได้เข้ามาติดต่อและยื่นแบบฟอร์มของสินเชื่อจากพนักงานธนาคาร พนักงานผู้ดูแลรับแบบฟอร์ม และนำไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลของธนาคารเพื่อดูว่า ผู้ที่ต้องการกู้นี้เป็นลูกค้าของธนาคารอยู่หรือไม่ หากผู้ขอกู้นี้ไม่เคยเป็นลูกค้าของธนาคารพนักงานก็จะดำเนินการกรอกข้อมูลประวัติของผู้กู้นี้เข้าไปในฐานข้อมูลของธนาคาร

พนักงานธนาคารได้ดำเนินการตรวจสอบต่อไปอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะเกี่ยวกับข้อมูลของตัวผู้ขอกู้พนักงานธนาคารตรวจสอบดูว่าผู้ขอกู้มีเครดิตคุ้มค่ากับการขอกู้หรือไม่ มีหลักทรัพย์พอเพียงหรือไม่ เป็นผู้ล้มละลายไม่มีความสามารถในการใช้คืน เมื่อตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ และเห็นว่าผู้ขอกู้ไม่มีปัญหา พนักงานก็จะดำเนินการตรวจสอบคำนวณดูว่าผู้ขอกู้จะมีความสามารถในการใช้คืนดอกเบี้ยและเงินต้นได้หรือไม่ โดยตรวจดูจากข้อมูลที่ยื่นมาให้ดู ซึ่งได้แก่ ข้อมูลเงินเดือน การออมรวมทั้งสินทรัยพ์และหนี้สินของผู้ขอกู้ พนักงานธนาคารจะคำนวณดูว่าสภาพของฐานะการเงินของผู้ขอกู้จะผ่านขั้นต่ำที่ทางธนาคารกำหนดไว้หรือไม่

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดพนักงานธนาคารก็จะติดต่อไปยังผู้ขอกู้ และจัดเตรียมการประชุมร่วมกัน

ในการประชุมผู้ขอกู้จะได้รับการแจ้งบอกเงื่อนไขที่ธนาคารจะให้ เช่น เงินกู้ อัตราดอกเบี้ย การผ่อนชำระการนำหลักทรัพย์ค้ำประกัน เมื่อเงื่อนไขและกระบวนต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับแล้ว พนักงานธนาคารก็จัดเตรียมสัญญาที่จะให้ลูกค้าเซ็นและรับเงิน ขณะเดียวกันเมื่อทุกอย่างดำเนินการไป พนักงานธนาคารก็จะทำการปรับปรุงฐานข้อมูลลูกค้าบัญชีการกู้เงิน ด้วยการใส่ตัวเลขปริมาณเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยการผ่อนชำระคืน และการค้ำประกัน พนักงานธนาคารจะให้คู่สัญญากับลูกค้าและเก็บตัวจริงไว้กับธนาคาร จากขบวนการและการวิเคราะห์ขั้นตอนของธุรกิจจะไดัรูปแบบที่เรียกว่า การไหลเวียนทางธุรกิจ (business workflow) ซึ่งสิ่งที่เป็นการไหลเวียนของงานนี้สามารถพิจารณาและมองขั้นตอนให้เป็นการเขียนแบบเชิงวัตถุได้จากขั้นตอนที่กล่าวแล้วเขียนในรูปโมเดลของขบวนการกู้เงินที่เป็นเชิงวัตถุได้เป็น

จากตัวอย่างนี้ยังอาจไม่สมบูรณ์ เพราะยังไม่มีการอธิบายว่ากระบวนการของแต่ละออบเจ็กต์และการเชื่อมโยงเกิดขึ้นได้อย่างไร จากตัวอย่างนี้ลูกค้าเป็นผู้ยื่นแบบฟอร์มขอกู้เงิน ข้อมูลลูกค้าเป็นออบเจ็กต์ที่เป็นข้อมูลเก็บอยู่ในธนาคาร

เมื่อผู้ดูแลการกู้เงินซึ่งเป็นพนักงานธนาคารได้รับแบบฟอร์มการขอกู้เงิน ผู้ดูแลการกู้เงินก็จะนำเอาข้อมูลจากแบบฟอร์มเข้าตรวจสอบกับฐานข้อมูลลูกค้า ซึ่งมีอยู่แล้วในธนาคาร ถ้าข้อมูลนี้ยังไม่มีอยู่ ก็จะบันทึกในฐานข้อมูล ผู้ดูแลการกู้เงินยังคงทำงานอีกหลายขั้นตอนในการตรวจสอบความต้องการของลูกค้า ผู้ดูแลการกู้เงินตรวจสอบเครดิตของลูกค้าจากข้อมูลเงื่อนไขที่เก็บที่ธนาคาร เมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าเงื่อนไขของการขอกู้เงินไม่มีปัญหาใด ก็จะตรวจดูสภาพการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นที่เป็นไปได้ โดยดูจากข้อมูลในขอกู้ ซึ่งอาจประกอบด้วยข้อมูลเงินเดือน การออม รวมถึงค่าใช้จ่ายรายเดือนของผู้กู้ ผู้ดูแลการกู้จะคำนวณและหาเงื่อนไขที่เหมาะสมที่จะให้เงินกู้และการจ่ายคืน ซึ่งข้อมูลบางอย่างจะนำมาจากกฎเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคาร

หากทุกอย่างเรียบร้อยผู้ดูแลการกู้ก็จะติดต่อกับลูกค้า เพื่อนัดแนะดังได้กล่าวมาแล้ว

ออบเจ็กต์นำมารวมกันได้


ออบเจ็กต์ที่แสดงออกอาจประกอบด้วยออบเจ็กต์เพียงออบเจ็กต์เดียว หรือออบเจ็กต์ที่รวมกันหลาออบเจ็กต์ ลองพิจารณาออบเจ็กต์สินค้าคงคลังที่แสดงในรูปที่ 6 ซึ่งประกอบด้วยออบเจ็กต์ย่อย ๆ ประกอบรวมกัน

ลักษณะของการรวมขอออบเจ็กต์จึงประกอบด้วยออบเจ็กต์ย่อย ๆ รวมกัน เช่น ออบเจ็กต์คอมพิวเตอร์ก็จะประกอบด้วย จอภาพ คีย์บอร์ด ซีพียู ออบเจ็กต์สินค้าคงคลังประกอบด้วยสินค้าต่าง ๆ หลายอย่างรวมกัน

คลาสขอออบเจ็กต์


ออบเจ็กต์ทุก ๆ ออบเจ็กต์จะต้องอยู่ในคลาส หรือกล่าวได้ว่า ออบเจ็กต์หลาย ๆ ออบเจ็กต์อาจมีลักษณะเหมือนกัน เช่น ธนาคารมีลูกค้าหลาย ๆ คน ลูกค้าแต่ละคนก็เป็นออบเจ็กต์ ดังนั้นออบเจ็กต์ของลูกค้าแต่ละคนมีลักษณะชนิดเดียวกัน เพื่อที่จะอธิบายออบเจ็กต์ได้ถูกต้อง เราจึงมีการกำหนดเป็นคลาส ซึ่งจะเห็นได้ว่าถ้าออบเจ็กต์มีลักษณะสมบัติเหมือนกันคือ มีแอตทริบิวต์และพฤติกรรมต่าง ๆ เหมือนกัน และเราจะกำหนดเป็นคลาส เช่น สมศักดิ์ สมชาย สมหญิง เป็นลูกค้าธนาคารทั้งสามคนนี้จึงเป็นออบเจ็กต์ที่มีลักษณะเหมือนกัน เราจึงหาวิธีการกำหนดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เราเรียกว่า คลาส หรือในกรณีนี้เรียกว่า คลาส "ลูกค้า"

นั่นคือ ออบเจ็กต์ทุก ๆ ออบเจ็กต์ต้องมีคลาส คลาสเป็นตัวอย่าออบเจ็กต์นั้นจะใช้สำหรับอะไร ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับแอตทริบิวต์ และการกระทำในออบเจ็กต์ ดังนั้นแต่ละออบเจ็กต์จึงต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวกับชื่อธนาคารและในแต่ละแอตทริบิวต์ของแต่ละออบเจ็กต์จะมีค่าที่เก็บไว้แตกต่างกัน ซึ่งค่าที่อยู่ในแอตทริบิวต์นั้นจะนำมาใช้ในการดำเนินการภายในออบเจ็กต์ และการทำงานในแต่ละออบเจ็กต์ที่อยู่ในออบเจ็กต์ก็จะมีลักษณะการทำงานเหมือนกันถ้าอยู่ในคลาสเดียวกัน

การถ่ายทอดลักษณะจากคลาสหนึ่งไปยังคลาสอื่น ๆ


การถ่ายทอดคุณลักษณะหรือที่เรียกว่า inherit โดยปกติคลาสหนึ่งอาจมีความสัมพันธ์กับอีกคลาสในลักษณะที่ถ่ายทอดคุณลักษณะถึงกันได้ การถ่ายทอดคุณลักษณะจึงหมายถึงการรับในเรื่องของแอตทริบิวต์ และการทำงานของอีกคลาสหนึ่งมา ซึ่งจะต้องได้รับการอธิบายในทั้งตัวถ่ายทอดและตัวรับการถ่ายทอด

ลักษณะการถ่ายทอดลักษณะของคลาส เช่น การตรวจสอบฐานะเครดิตแบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังออบเจ็กต์ การตรวจสอบเครดิตซึ่งแสดงดังในรูปที่ 7

ทำนองเดียวกันคลาสหนึ่งอาจถ่ายทอดไปยังคลาสอื่น ๆ ได้อีกหลาย ๆ คลาส เช่น ลูกค้าธนาคารอาจเป็นลูกค้าที่เป็นบุคคลภายนอก หรือลูกค้าที่เป็นพนักงานของบริษัทเอง การสร้างออบเจ็กต์จึงสร้างออบเจ็กต์รวมเป็น EmployedCustomer ซึ่งถ่ายทอดคุณสมบัติไปยังออบเจ็กต์ Customer และ Employee แยกจากกัน

โอโอเป็นรูปแบบสำหรับอนาคต


จากการพิจารณาให้ลึกซึ้งในเรื่องของการไหลของงานทำให้การใช้รูปแบออบเจ็กต์แสดงสภาพการทำงานได้ดีกว่า และการพัฒนาซอฟต์แวร์แนวใหม่จึงหันมาใช้ซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนการพัฒนาการประยุกต์แบบออบเจ็กต์และเป็นหนทางที่น่าสนใจยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะจะเป็นระบบการพัฒนาซอฟต์แวร์แนวใหม่ที่สามารถสร้างขึ้นมาตามแนวคิดของธุรกิจ และทำให้การพัฒนาทำได้ง่ายขึ้น และยังใช้งานตลอดจนการปรับปรุงปรับเปลี่ยนในภายหลังได้ง่าย ในบทความนี้ได้เน้นเฉพาะแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับออบเจ็กต์เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:

โทรศัพท์คอมพิวเตอร์

 
โทรศัพท์คอมพิวเตอร์
 

            พัฒนาของการไมโครโปรเซสเซอร์เป็นต้นเหตุของการพัฒนาผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ    
           ตามมาอีกมากมาย ปี พ.ศ. 2539 นี้เป็นปีที่อายุการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ครบรอบ 25 ปีแล้ว 
           การพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ครบรอบ 25 ปีแล้ว การพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ทำให้มีการสร้าง
          พีซีและเป็นต้นเหตุของการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย และเมื่ออินเทลพัฒนาซีพี
          ยตระกูล 86 ที่เป็นรายฐานของพีซีในตระกูลของอินเทลเป็นเส้นทางที่ยาวนาน และยังยาวไกลที่
          จะทำให้มีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย

ขณะที่พีซีแพร่หลายและมีขีดความสามารถสูงขึ้น พัฒนาการทางด้านสื่อสารก็เริ่มขึ้น พัฒนาการทางด้านสื่อสารก็เริ่มขึ้น มีการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสาร จนทำให้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน รับส่งข้อมูลถึงกัน การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่เครื่องพีซีทุกวันนี้จะไม่โดดเดี่ยวแบบสแตนอโลนพีซี แต่จะใช้งานร่วมกัน
มัลติมีเดียเป็นเทคโนโลยีที่สนองตอบความต้องการของผู้ใช้พีซีในปัจจุบันจึงต้องมีระบบเสียง ระบบภาพ และยังมีระบบเก็บข้อมูลจำนวนมาก ทั้งที่เป็นฮาร์ดดิสค์และซีดีตลอดจนการเชื่อมต่อแบบ LAN และโมเด็มมัลติมีเดียพีซีจึงเป็นพีซีเป็นพื้นฐานที่ผู้ซื้อพีซีปัจจุบันเลือกหา และเป็นมาตรฐานของพีซีต่อไป

เมื่อพีซีได้พัฒนามาถึงจุดนี้ ระบบสื่อสารพัฒนาตามมา ระบบโทรศัพท์ก็พัฒนามาเป็นระบบโทรศัพท์ดิจิตอล การเชื่อมโยงและรวมเทคโนโลยีของการใช้งานคอมพิวเตอร์พีซี มัลติมีเดีย ระบบสื่อสาร โทรศัพท์จึงเป็นเป้าหมายที่รวมกันเข้าเป็นระบบเดียวและมีแนวโน้มที่เป็นจริง โทรศัพท์คอมพิวเตอร์ เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญ

CTI เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง

CTI เป็นคำย่อมาจาก Computer Telephony Integration คือการรวมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์เข้าด้วยกัน ลองจินตนาการดูว่าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีเครื่องคอมพิวเตอร์ต่ออยู่หลายล้านเครื่อง เครือข่ายโทรศัพท์มีพื้นที่ใหญ่กว่าอินเทอร์เน็ตมากมายนัก ปัจจุบันมีโทรศัพท์ต่อเชื่อมเข้าบ้านประมาณมากกว่า 500 ล้านเครื่อง เครือข่ายโทรศัพท์จึงเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเครือข่ายที่มีผู้ใช้กันมากมาย และมีความจำเป็นอย่างมากต่อระบบสื่อสาร

แนวคิดของ CTI ก็คือ ต้องการทำให้เครื่องรับปลายทางที่ทุกบ้านใช้กลายเป็นพีซีและพีซีทุกเครื่องก็จะกลายเป็นโทรศัพท์ โดยพีซีจะกลายเป็น call center หรือสถานีโทรศัพท์ มีรหัสหมายเลขโทรศัพท์ที่เรียกว่า call id การติดต่อสื่อสารระหว่างกันจึงใช้รหัสเช่นเดียวกับที่เราใช้ การใช้พีซีมีข้อดีเพราะพีซีมีซีพียูที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาพีซีจึงต้องเพิ่มเติมฟังก์ชันการทำงานที่เรียกว่า หน่วยตอบสนองเสียง หรือ VRU Voice Response Unit การใช้งานพีซีเป็นโทรศัพท์ย่อมง่ายกว่าการใช้โทรศัพท์ เพราะพีซีมีระบบอัจฉริยะภายในตัวที่ทำให้การทำงานแบบอัตโนมัติ การรับส่งข้อความเสียงการประมวลผลเสียง และในอนาคตก็คงรวมการรับส่งภาพ กลายเป็นวีดีโอโฟน และวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่พูดโต้ตอบเห็นหน้าตากันด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีแนวโน้มที่เป็นไปได้และอีกไม่นานนักคงได้พบเห็น

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเป็นไปในลักษณะที่เชื่อมโยงกัน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคงเห็นได้ชัดเราใช้โมเด็มความเร็ว 28,800 บิตต่อวินาทีเรียกหาข้อมูลมีเครือข่าย WWW-World Wide Web การโอนย้ายข้อมูลแบบมัลติมีเดียทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงข้อมูลได้ทั้งภาพเสียงและ วีดีโอ สิ่งเหล่านี้เองเป็นเครื่องยืนยันว่าการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

โมเดลของ CTI


เพื่อใช้เป็นที่อ้างอิง และเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาได้พัฒนาตามรูปแบบโมเดลอ้างอิง เพื่อเป็นมาตรฐานกลาง มาตรฐานของ CTI จึงเป็นมาตรฐานที่บริษัทชั้นนำต่างๆ กำลังพัฒนาเพื่อว่าระบบเครือข่าย CTI จะเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก โมเดลอ้างอิงที่ใช้แสดงดังรูปที่ 1

โมเดลอ้างอิงนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนโดยที่ปลายทางด้านหนึ่งมีพีซีเป็นเทอร์มินัลหรือทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางสำหรับรับส่งเสียง (Voice terminal) อีกปลายด้านหนึ่งเป็นเครือข่าย หรือสวิตชิง โดยมีส่วนเชื่อมโยงทำหน้าที่เชื่อมโยงพีซีกับเครือข่ายเข้าด้วยกัน พีซีทำงานในฟังก์ชันที่เป็นเทอร์มินัลของเสียงประกอบด้วยอินพุตเสียงและเอาต์พุตเสียงอินพุตจึงรับสัญญาณเสียงจากไมโครโฟนและเอาต์พุตเป็นลำโพงที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายผ่านส่วนเชื่อมต่อที่เรียกว่า ส่วนการ connection ส่วนนี้มีการเชื่อมโยงได้หลายแบบ เช่น ถ้าเป็นพีซีธรรมดาและเชื่อมเข้าเครือข่ายโทรศัพท์ทั่วไป ก็เชื่อมต่อผ่านโมเด็ม และถ้าพีซีต่ออยู่กับ LAN ส่วนเชื่อมต่อก็เป็น LAN และสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ PABX หรือ PBX คือชุมสายโทรศัพท์ย่อยขององค์กร โมเดลอ้างอิงนี้จึงเขียนใหม่ได้ดังรูปที่ 2

อินเทอร์เน็ตก็ต้องรวมกับระบบโทรศัพท์


เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเติบโตเร็วมากมีแนวโน้มของการเชื่อมโยงพีซีทั้งหมดเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันผู้ประยุกต์งานทางด้านมัลติมีเดียก็มีมากเช่นกัน หากใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงขึ้น การประยุกต์ทางด้านเสียง ภาพ และวีดีโอ คงไปไกลกว่านี้แล้วบนอินเทอร์เน็ตมีการประยุกต์เป็นโทรศัพท์เช่น iphone หรืออินเทอร์เน็ตโฟน มี CUCMEE คือโปรแกรมวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ การประยุกต์ในเรื่องสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตมีโมเดลเช่นเดียวกับ CTI เช่นกัน

การสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสารข้อมูลแบ่งเป็นระดับย่อยตามโมเดล OSI ได้ 7 ระดับ ระดับบนเป็นเรื่องของการประยุกต์ที่สามารถประยุกต์งานต่าง ๆ บนเครือข่ายได้มาก การประยุกต์งานทางด้านการสื่อสารทางเสียงจึงเป็นอีกงานหนึ่งที่ทำให้เกิดขึ้นได้ไม่ยาก หากมองลึกลงไปพบว่า เสียงพูดในระบบโทรศัพท์เป็นสัญญาณดิจิตอลได้เช่นกัน ระบบสัญญาณดิจิตอลทางเสียงตามหลักการโทรศัพท์ก็ใช้ข้อมูลความเร็วขนาด 64 กิโลบิตต่อวินาที แต่เมื่อการประมวลผลดีขึ้นมีการบีบอัดสัญญาณเสียงด้วยเทคนิคที่ดีขึ้นจนสามารถบีบอัดสัญญาณเสียงให้เล็กลงมาเหลือเพียงประมาณ 16 กิโลบิตต่อวินาทีได้การประยุกต์ด้วยสัญญาณเสียงทางโทรศัพท์บนเครือข่ายจึงเป็นหนทางที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ

พัฒนาการซอฟต์แวร์บนวินโดวส์ เตรียมรองรับแล้ว


ผู้ผลิตโอเอสหลักทุกรายต่างพัฒนาช่องสำหรับขยายส่วนการเชื่อมโยงนี้ไว้แล้วไมโครซอฟต์ผู้พัฒนาวินโดวส์และไอบีเอ็มผู้พัฒนาโอเอสทู ต่างมีฟังก์ชันการทำงานเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ไว้แล้ว

ฟังก์ชันการทำงานที่สำคัญ คือ call processing ซึ่งเป็นฟังก์ชันการเรียกเข้าเครือข่ายเพื่อการเชื่อมโยง การควบคุมการติดต่อการและเชื่อมโยงการส่งสัญญาณระหว่างกัน กับอีกส่วนหนึ่งคือ media processing เป็นเรื่องของการให้ข้อมูลวิ่งผ่านไปยังเครือข่ายผ่านตัวกลางต่าง ๆ

เพื่อให้การทำงานระบบคอมพิวเตอร์มีสิ่งที่เหนือกว่าโทรศัพท์ทั่วไป พีซีมีโปรแกรมต่าง ๆ ที่เก็บไว้ได้ จึงสามารถสร้างฟังก์ชันพิเศษสำหรับการทำงานได้อีกมากมาย เช่น การโอนหมายเลข การประมวลผลร่วมกับฐานข้อมมูล การรับเมล์เสียง การพูดคุยมากกว่าหนึ่งคน การประชุมกลุ่ม ฯล ฯ ฟังก์ชันเหล่านี้เป็นฟังก์ชันทางซอฟต์แวร์ที่ต้องพัฒนาและการวางให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อว่าระบบการเชื่อมโยงทั้งหมดเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างสมบูรณ์

ผู้พัฒนาบนวินโดวส์จึงสร้างส่วนเชื่อมต่อที่เรียกว่า API Application Program Interface เพื่อรองรับ ส่วนเชื่อมต่อนี้มีชื่อว่า TAPI-Telephone API ฟังก์ชันการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์นี้ได้พัฒนาไปไกลแล้ว โดยอยู่ระหว่างการทดลองและหาแนวทางในการเชื่อมต่อรับระบบมาตรฐานต่าง ๆ ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่จะเชื่อมต่อกับระบบโทรศัพท์ก็กำลังดำเนินการเพื่อให้ระบบเครือข่ายโทรศัพท์ PABX และ PBX เชื่อมต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ โครงสร้างของ TAPI แสดงดังรูปที่ 4

โมเดลที่อ้างถึงเป็นการมองแบบกว้างซึ่งการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายคอมพิวเตอร์เช่น TCP/IP ก็เป็นรูปแบบหนึ่ง นั่นหมายถึงผู้ใช้บนเครือข่ายนี้เช่นกำลังใช้เน็ตสเคป ก็อาจมีเสียงริงกิงบอกว่ามีผู้ต้องการโทรศัพท์ติดต่อด้วย ผู้ใช้อาจใช้เม้าส์คลิ๊กเพื่อรับสายบนจอวินโดวส์ของเน็ตสเคป เพื่อพูดตอบโต้ทางโทรศัพท์ กรณีตัวอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโปรแกรมเน็ตสเคปเป็นโปรแกรมประยุกต์ได้พัฒนาฟังก์ชันนี้ไว้ และเชื่อมต่อกับ TAPI เพื่อเข้าสู่ระบบสากลบนเครือข่าย TCP/IP

คอมพิวเตอร์โทรศัพท์จะเข้ามาแทนเครื่องโทรศัพท์ที่บ้าน?


การใช้พีซีดังที่กล่าวมาแล้วเน้นที่พีซีต่ออยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ต่อเชื่อมกับเครือข่ายโทรศัพท์วิธีการนี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น

ผู้พัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์คงต้องเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะการเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์ที่บ้านให้เป็นคอมพิวเตอร์ รูปแบบของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นโทรศัพท์ แสดงดังรูปที่ 5

ด้วยขนาดของมาตรฐานของ V.34 ที่เพิ่มเติมขีดความสามารถการรับสัญญาณบางส่วนก็พอเพียงที่จะทำให้โทรศัพท์ที่ใช้พีซีแทนได้ การรับส่งสัญญาณรับส่งได้ทั้งสัญญาณเสียงและข้อมูล โมเดลของโมเด็มที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย แสดงดังรูปที่ 6

การเชื่อมโยงโทรศัพท์ดังรูปที่ 6 ต้องการการ์ดอินเตอร์เฟส การ์ดอินเตอร์เฟสนี้ต้องรองรับซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมาและเชื่อมกับชุมสาย มีระบบสัญญาณเรียกขานตามมาตรฐานกลางที่รับรู้กันได้ มาตรฐานของสัญญาณเรียกขานนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานระบบนี้จะได้รับการประยุกต์ใช้การที่ใช้พีซีช่วยเพราะพีซีมีฟังก์ชันการทำงานได้อีกมาก และสามารถเพิ่มขีดความสามารถการติดต่อบนเครือข่ายได้ดี จะมีผู้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ให้ใช้ได้มาก

ในที่สุดเครือข่ายโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ก็รวมกัน


เป้าหมายของการพัฒนาอยู่ที่ต้องทำเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเครือข่ายโทรศัพท์เชื่อมโยงกันให้ได้ การเชื่อมโยงกันนี้ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงในระดับฟิสิคัลเท่านั้น แต่ต้องให้ทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกันความหมายของการเชื่อมโยงนี้คือ ผู้ใช้เครื่องโทรศัพท์ที่หนึ่ง สามารถหมุนเลขหมายไปยังพีซีที่ต่ออยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์เช่นอินเทอร์เน็ต และโต้ตอบกันได้ เช่นเดียวกันผู้ใช้พีซีก็สามารถเรียกหาเข้าสู่โทรศัพท์หรือพูดคุยกันได้เช่นเดียวกัน รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งสองเข้ากับโทรศัพท์เป็นดังรูปที่ 7

การเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งสองเข้าด้วยกันนี้ทำให้ระบบสื่อสารที่จะเกิดขึ้นเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด การสื่อสารระหว่างกันคงก้าวหน้าขึ้นไป การเชื่อมโยงระหว่างกันในระดับเสียงเป็นเพียงขั้นต้น เพราะเป้าหมายสุดท้ายคือการเชื่อมโยงแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์หรือเมื่อพูดก็มองเห็นหน้ากันไปด้วย เป้าหมายนี้ไม่ไกลเกินไปแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก